การวางแผนจัดการเรียนการสอนและการเรียนรู้
Joyce and Weil,
(1996 : 334) อ้างว่า มีงานวิจัยจํานวนไม่น้อยที่ชี้ให้เห็นว่า
การสอนมุ่งเน้นการให้ ความรู้สึกที่ลึกซึ้ง
ช่วยให้ผู้เรียนรู้สึกว่ามีบทบาทในการเรียน
ทําให้ผู้เรียนมีความตั้งใจในการเรียนรู้และช่วย
ให้ผู้เรียนประสบความสําเร็จในการเรียน
การเรียนการสอนโดยจัดสาระและวิธีการให้ผู้เรียนอย่างดีทั้ง ทางด้านเนื้อหา ความรู้
และการให้ผู้เรียนใช้เวลาเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ (academic learning) เป็น ประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนมากที่สุด ผู้เรียนมีจิตใจจดจ่อกับสิ่งที่เรียนและช่วยให้ผู้เรียนถึง
30 ประสบความสําเร็จในการเรียน นอกจากนั้นยังพบว่า
บรรยากาศการเรียนที่ไม่ปลอดภัยสําหรับผู้ สามารถสกัดกั้นความสําเร็จของผู้เรียนได้
ดังนั้น ผู้สอนจึงจําเป็นต้องระมัดระวัง ไม่ทําให้ผู้เรียนเก ความรู้สึกในทางลบ
เช่น การดุด่าว่ากล่าวแสดงความไม่พอใจ หรือวิพากษ์วิจารณ์ผู้เรียน
การเรียนการสอนโดยตรง
การเรียนการสอนโดยตรง
ประกอบด้วยขั้นตอนสําคัญๆ 5 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 ขั้นนํา
ขั้นที่ 1 ขั้นนํา
1.1 ผู้สอนแจ้งวัตถุประสงค์ของบทเรียน
และระดับการเรียนรู้หรือพฤติกรรมการเรียนรู้ที่ คาดหวังแก่ผู้เรียน
1.2 ผู้สอนชี้แจงสาระของบทเรียน
และความสัมพันธ์กับความรู้และประสบการณ์เดิมของ ผู้เรียนอย่างคร่าวๆ
1.3 ผู้สอนชีแจงกระบวนการเรียนรู้
และหน้าที่รับผิดชอบของผู้เรียนในการเรียนแต่ละขั้นตอน
ขั้นที่
2 ขั้นนําเสนอบทเรียน
2.1 หากเป็นการนําเสนอเนื้อหาสาระ ข้อความรู้ หรือมโนทัศน์
ผู้สอนควรกลั่นกรองและ สกัดคุณสมบัติเฉพาะของมโนทัศน์เหล่านั้น
และนําเสนออย่างชัดเจน พร้อมทั้งอธิบายและยกตัวอย่าง ประกอบให้ผู้เรียนเข้าใจ
ต่อไปจึงสรูปคํานิยามของมโนทัศน์เหล่านั้น
2.2 ตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความเข้าใจตรงตามวัตถุประสงค์ ก่อนให้ผู้เรียนลงมือฝึกปฏิบัติ
หากผู้เรียนยังไม่เข้าใจ ต้องสอนซ่อมเสริมให้เข้าใจก่อน
ขั้นที่
3 ขั้นปฏิบัติตามแบบ (structured
practice)
ผู้สอนปฏิบัติให้ผู้เรียนดูเป็นตัวอย่าง
ผู้เรียนปฏิบัติตาม ผู้สอนให้ข้อมูลป้อนกลับ ให้การ
เสริมแรงหรือแก้ไขข้อผิดพลาดของผู้เรียน
ขั้นที่
4 ขั้นฝึกปฏิบัติภายใต้การกํากับของผู้ชี้แนะ
(guided practice)
ผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง
โดยผู้สอนคอยดูแลอยู่ห่างๆ ผู้สอนจะสามารถประเมินการ
เรียนรู้และความสามารถของผู้เรียนได้จากความสําเร็จและความผิดพลาดของการปฏิบัติของผู้เรียน
และ ช่วยเหลือผู้เรียน โดยให้ข้อมูลป้อนกลับเพื่อให้ผู้เรียน แก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ
ขั้นที่
5 การฝึกปฏิบัติอย่างอิสระ (independent
practice)
หลังจากที่ผู้เรียนสามารถปฏิบัติตามขั้นที่
4 ได้ถูกต้องประมาณ 85 -
90% แล้ว ผู้สอนควร ปล่อยให้ผู้เรียนปฏิบัติต่อไปอย่างอิสระ เพื่อช่วยให้เกิดความชํานาญ
และการเรียนรู้อยู่คงทน ผู้สอนไม่ จําเป็นต้องให้ข้อมูลป้อนกลับในทันที
สามารถให้ภายหลังได้ การฝึกในขั้นนี้ไม่ควรทําติดต่อกันในครั้งเดียว
ควรมีการฝึกเป็นระยะๆ เพื่อช่วยให้การเรียนรู้อยู่คงทนนานขึ้น
ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบการเรียนการสอนทางตรง
การเรียนการสอนแบบนี้
เป็นไปตามลําดับขั้นตอน ตรงไปตรงมา ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทั้ง ทางด้านพุทธิพิสัย
และทักษะพิสัยได้เร็วและได้มากในเวลาจํากัด ไม่สับสน ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติตาม
ความสามารถของตนจนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์
ทําให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการเรียน และมีความรู้สึกที่ดี ต่อตนเอง
สรุป
การสอนโดยตรงโดยทั่วไปมี 3 ขั้นตอน ( http://www2.southeastern.edu/Academics/ Faculty
rhancock/theory.htm#D1) 'laun
1. การสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้เรียน 2. การนําเสนอข้อมูลใหม่
3. การเสนอแนะแนวทางปฏิบัติ ให้ข้อมูลย้อนกลับ
และการประยุกต์ใช้ ขั้นที่ 1 การสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้เรียน
สร้างแรงจูงใจผู้เรียน
ให้มีแรงจูงใจเพียงพอที่จะมีความปรารถนาที่จะเรียนรู้ มีส่วนร่วมใน
การเรียนรู้และมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติภาระงานที่ได้รับมอบหมายจนกระทั่งงานเสร็จสิ้น
ขั้นที่
2 การนําเสนอข้อมูลใหม่ให้กับผู้เรียน
การอธิบาย
พยายามใช้การปฏิสัมพันธ์และการป้อนคําถาม- ถามทีละขั้นตอน
การสาธิต
การเรียนการสอนที่ซับซ้อน ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กําหนด ด้วยมีเครื่องมือจํากัด
และคํานึงถึงความปลอดภัยของผู้เรียน |
ตํารา
ใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีคุณค่า แบบฝึกหัดสําหรับผู้เรียน
การฝึกเขียนการจัดระบบระเบียบและการจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศ
โสตทัศนูปกรณ์
สร้างความน่าสนใจและแม่นยําในการนําเสนอข้อมูลใหม่ให้กับผู้เรียน ขั้นที่ 3 การเสนอแนะแนวทางปฏิบัติให้ข้อมูลย้อนกลับ
และการประยุกต์ใช้
สาระเบื้องต้นคือ
การยืนยันความถูกต้องเพื่อความแน่ใจและการให้แนวคิดและข้อเสนอแนะ
ผู้เรียนมีแนว โน้มที่จะต้องทํางานเป็นรายบุคคลแม้ว่าการทํางานเป็นกลุ่มจะเป็นที่ยอมรับก็ตามโอกาสที่ผู้เรียนจะได้รับได้แก่:
การตอบคําถาม การแก้ปัญหา การสร้างโครงสร้าง ต้นแบบ วาดแผนภูมิ สาธิตทักษะ เป็นต้น
การเรียนการสอนตามแนวคิดการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
(Constructivist Methods : CLM) มีพื้นฐานแนวคิดที่ว่า
ผู้เรียนแต่ละคนจะเรียนรู้ได้ดีที่สุด ก็ต่อเมื่อได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้
ด้วยตนเอง จะให้โอกาสผู้เรียนในการสร้างองค์ความรู้จากความรู้ที่มาก่อน
เพื่อนําไปสู่การสร้างองค์ความรู้ ใหม่และความเข้าใจจากประสบการณ์จริง
การเรียนรู้จากวิธีการนี้ ผู้เรียนจะได้รับการส่งเสริมให้สํารวจถึง ความเป็นไปได้
คิดวิธีแก้ปัญหา ทดสอบแนวคิดใหม่ๆ การร่วมมือกับผู้อื่น การคิดทบทวนปัญหา
และท้ายที่สุดคือเสนอวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดที่ตนเองคิดค้นขึ้น
การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง เชื่อว่า
ความรู้นั้นเป็นเรื่องเฉพาะของแต่ละคนและสิ่งแวดล้อม
การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองเป็นการเรียนรู้ตามแนวคอนตรัคติวิสท์
(constructivism) ที่เปลี่ยนแนวคิดในการจัดการศึกษาตามทฤษฎีพฤติกรรมนิยม
(Behaviorism) ซึ่งระบุจุดประสงค์ (Domains of
objective) ระดับความรู้ (Level of Knowledge) และการให้แรงเสริม (Reinforcement) เป็นแนวคิดในการ
จัดการศึกษาที่เน้นทฤษฎีความรู้ความคิด (Cognitive theory) ที่ว่าผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ของตนเอง
(Construct their own knowledge) จากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
(Gagnon & Collay 2001:1) ที่เป็นผล
มาจากประสบการณ์และระเบียบแบบแผนทางความคิดของผู้เรียนแต่ละคน การเรียนรู้ตามแนวคอนตรัคติ
วิสท์ มุ่งเตรียมผู้เรียนให้สามารถแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ที่คลุมเครือ
ทฤษฎีการเรียนรู้แบบคอนตรัคติวิสท์
สนใจศึกษากระบวนการเรียนรู้ด้วยการกระทําของตนเอง
เมื่อเกิดปัญหาหรือความขัดแย้งทางปัญญาขึ้น บุคคลจะใช้โครงสร้างทางปัญญา (cognitive
structure) ที่มีอยู่เดิมทําปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม หรือเพื่อน ๆ
ที่อยู่รอบข้าง ความขัดแย้งทางปัญญาจะเป็นแรงจูงใจให้เกิดการต่อไตร่ตรอง(reflection)
อันเป็นกิจกรรมของ การตรวจสอบ
และปรับเปลี่ยนสมมติฐานทางความคิดด้วยเหตุและผล ซึ่งนําไปสู่การสร้างโครงสร้างใหม่
ทางปัญญาต่อไป
การจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
(Constructivist Methods : CLM) เชื่อว่า
ความรู้นั้นเป็น เรื่องเฉพาะของแต่ละคนและสิ่งแวดล้อม
ผู้เรียนแต่ละคนจะเรียนรู้ได้ดีที่สุด เมื่อได้สร้างองค์ความรู้ด้วย ตนเอง
จะให้โอกาสผู้เรียนในการสร้างองค์ความรู้จากความรู้ที่มาก่อน
เพื่อนําไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ และความเข้าใจจากประสบการณ์จริง
ในการเรียนรู้ผู้เรียนจะได้รับการส่งเสริมให้สํารวจถึงความเป็นไปได้
วิธีคิดแก้ปัญหา ทดสอบแนวคิดใหม่ๆ การร่วมมือกับผู้อื่น การคิดทบทวนปัญหา
และท้ายที่สุดคือเสนอวิธี แก้ปัญหาที่ดีที่สุดที่ตนเองคิดค้นขึ้น
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการสร้างความต่อเนื่องระหว่างข้อมูลสนเทศใหม่กับความรู้เดิม
การเรียนรู้ เป็นผลของการผลิตหรือสร้างสรรค์ทางปัญญา
มนุษย์จะเรียนรู้ได้อย่างดีที่สุด ถ้าหากได้ลงมือสร้าง
ความหมายหรือความเข้าใจของตนด้วยตนเอง การเรียนรู้เกิดขึ้น
เมื่อผู้เรียนสร้างโครงสร้างความรู้หรือความ
เข้าใจอย่างแข็งขันและมีเจตนามุ่งมั่นชัดเจน โดยผู้เรียนจะสลายความขัดแย้ง (Conflict Resolution) หรือความ
ไม่เข้ากันของแนวคิดหรือข้อมูลต่าง ๆ โดยการพินิจพิเคราะห์คําอธิบายหรือเหตุผลเชิงทฤษฎี
มนุษย์สร้างโลก ทัศน์ของตนเองขึ้นจากประสบการณ์จริงในเวลานั้น และ
โครงสร้างความรู้เดิมที่อยู่ในรูป Schema มนุษย์ใช้ Schema
ในการตีความหรือสร้างความหมายให้กับประสบการณ์หรือข้อมูลใหม่
เมื่อมีการเรียนรู้เกิดขึ้น จะมี การปรับ Schema ให้มีความครอบคลุม
และมีประสิทธิภาพในการตีความที่สูงขึ้น
ในเรื่องกระบวนการเรียนการสอนผู้เรียนมีความสําคัญในฐานะผู้ที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับวัตก
ปรากฏการณ์ โดยการสังเกต การวัดหรือประมาณการ การตีความ หรือการกระทํา
เพื่อให้เกิดความ สร้างความคิดรวบยอดต่อสิ่งเหล่านั้น
ผู้เรียนเป็นผู้สร้างแนวทางแก้ปัญหาของตนเอง ดังนั้น การ Constructivist จึงเห็นคุณค่าของความคิดริเริ่ม
ความเป็นอิสระในความคิดของผู้เรียน และให้ความสําคัญและ
อิทธิพลของบริบทการการเรียนรู้และภูมิหลังเกี่ยวกับความเชื่อและเจตคติของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนรู้
Murphy (1997:
Online ; citing Glasersfield 1999) อธิบายสรุปได้ว่า
บุคคลสร้างความรู้ โดยอาศัย
การรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสและการสื่อสารในขณะที่ตนเองมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
ทําให้มีการ ปรับเปลี่ยนหรือจัดระบบประสบการณ์เดิมของตนเองใหม่ ดังนั้นความรู้จึงไม่สามารถถ่ายทอดจากบุคคล
หนึ่งไปสู่อีกบุคคลหนึ่งได้ กลาเซอร์ฟิลด์
อธิบายการเรียนรู้ว่าไม่เกี่ยวกับสิ่งเร้าและการตอบสนอง แต่การ
เรียนรู้เกิดจากการกํากับตนเอง (self - regulation) และการสร้างมโนทัศน์จากการสะท้อนความคิดซึ่งกันและ
กัน
เมอร์ฟี
(Murphy 1997 :Online) รวบรวมแนวคิดของนักการศึกษาต่าง
ๆ ในการจัดการเรียนการ สอนตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์ สรุปได้ดังนี้
1. กระตุ้นให้ผู้เรียนใช้มุมมองที่หลากหลายในการนําเสนอความหมายของมโนทัศน์
2. ผู้เรียนเป็นผู้กําหนดเป้าหมายและจุดมุ่งหมายการเรียนของตนเองหรือจุดมุ่งหมายของการ
เรียนการสอนเกิดจากการเจรจาต่อรองระหว่างผู้เรียนกับครูผู้สอน
3. ครูผู้สอนแสดงบทบาทเป็นผู้ชี้แนะ ผู้กํากับ ผู้ฝึกฝน
ผู้อํานวยความสะดวกในการเรียนของ ผู้เรียน
4. จัดบริบทของการเรียน เช่น กิจกรรม โอกาส เครื่องมือ
สภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมวิธีการคิด และการกํากับและรับรู้เกี่ยวกับตนเอง
5. ผู้เรียนมีบทบาทสําคัญ ในการสร้างความรู้และกํากับการเรียนรู้ของตนเอง
6. จัดสถานการณ์การเรียน สภาพแวดล้อม ทักษะ
เนื้อหาและงานที่เกี่ยวข้องกับนักเรียนตาม สภาพที่เป็นจริง
7. ใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิเพื่อยืนยันสภาพการณ์ที่เป็นจริง
8. ส่งเสริมการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
ด้วยการเจรจาต่อรองทางสังคมและการเรียนรู้ร่วมกัน
9. พิจารณาความรู้เดิม
ความเชื่อและทัศนคติของนักเรียนประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
10. ส่งเสริมการแก้ปัญหา
ทักษะการคิดระดับสูงและความเข้าใจเรื่องที่เรียนอย่างลึกซึ้ง
11. นําความผิดพลาด
ความเชื่อที่ไม่ถูกต้องของนักเรียนมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้
12. ส่งเสริมให้นักเรียนค้นหาความรู้อย่างอิสระ
วางแผนและการดําเนินงานเพื่อให้บรรลุ เป้าหมายการเรียนรู้ของตนเอง
13. ให้นักเรียนได้เรียนรู้งานที่ซับซ้อน
ทักษะและความรู้ที่จําเป็นจากการลงมือปฏิบัติด้วย ตนเอง
14. ส่งเสริมให้นักเรียนสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์ของเรื่องที่เรียน
15. อํานวยความสะดวกในการเรียนรู้ของนักเรียนโดยให้คําแนะนําหรือให้ทํางานร่วมกับผู้อื่น
เป็นต้น
16. วัดผลการเรียนรู้ของนักเรียนตามสภาพที่เป็นจริงขณะดําเนินกิจกรรมการเรียนการสอนจาก
แนวคิดของนักการศึกษาดังกล่าว
Gagnon &
Collay (2001 :2) ได้เสนอแนวคิดในการออกแบบการเรียนรู้ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์
(Constructivist learning design) ว่าประกอบด้วย 6 ส่วนที่สําคัญได้แก่ สถานการณ์ (Situation) การจัดกลุ่ม
(Grouping) การเชื่อมโยง (Bridge) การซักถาม
(Questions) การจัดแสดงผลงาน (Exhibit) และการสะท้อน ความรู้สึกในการปฏิบัติงาน (Reflection) โดยในการออกแบบครั้งนี้ เพื่อกระตุ้นให้ครูผู้สอนวางแผนการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้และสะท้อนกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน (Reflection
about the process of student learning) กล่าวคือ
ครูจะจัดสถานการณ์เพื่อให้นักเรียนอธิบายเลือกกระบวนการในการจัดกลุ่ม (Grouping)
นักเรียนหรือสื่ออุปกรณ์ สําหรับใช้ในการอธิบายสถานการณ์พยายามสร้างความเชื่อมโยง
(Bridge) ระหว่าง
สิ่งที่เป็นความรู้เดิมของนักเรียนกับสิ่งที่นักเรียนต้องการจะเรียนรู้
สรุปคุณลักษณะของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์
มีดังนี้
1. ผู้เรียนสร้างความรู้ ความเข้าใจในสิ่งที่เรียนรู้ด้วยตนเอง
2. การเรียนรู้สิ่งใหม่ขึ้นกับความรู้เดิมและความเข้าใจที่มีอยู่ในปัจจุบัน
3. การมีปฏิสัมพันธ์ต่อสังคมมีความสําคัญต่อการเรียนรู้
4. การจัดสิ่งแวดล้อม
กิจกรรมที่คล้ายคลึงกับชีวิตจริงทําให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมี ความหมาย
ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์
เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ ดังนั้นตัวทฤษฎีเองไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการ
จัดการเรียนการสอน ไม่มีลําดับขั้นการสอน Henrique (1997) ได้ศึกษาทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์
และตีความ ทฤษฎีนี้ โดยพิจารณาจากมุมมองด้านปรัชญา ด้านจิตวิทยา
ด้านญาณวิทยาและด้านการเรียนการสอนและ จําแนกทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์ ได้ 4 แนวคิด ได้แก่
1. แนวคิดคอนสตรัคติวิสท์ แบบกระบวนการทางสมองในการประมวลผล (information
processing approach) หรือแนวคิดแบบการประมวลผลข้อมูลนั้น
ใช้พื้นฐานที่ว่านักเรียนเรียนรู้สิ่งที่เป็น ความจริง
ไม่ว่าจะเรียนจากครูหรือการได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ โดยการประมวลผลข้อมูลนี้ใช้หลักว่า มีความจริงที่เป็นกลางที่สามารถวัดและทําเป็นแบบได้
ตามหลักปรัชญาของพอสิทวิสต์ ( positivist philosophical tradition )
3. แนวคิดคอนสตรัคติวิสท์เชิงสังคม (social constructivist approach) แนวคิดแมนา สตรักติวิสต์ แนวคิดนี้ใช้หลักการว่าความรู้เกิดขึ้นในระดับชุมชนเมือผู้คนที่อยู่ในชุมชนนั้นมีปฏิสัมพัน
4. แนวคิดเรดิคอลคอนสตรัคติวิสท์ (radical constructivist approach) แนวคิดแบบแรดิต้อง สดรักติวิสต์
แนวคิดนี้เชื่อว่าความคิดมาหมายหลากหลายล้วนแต่มีทางที่จะเป็นจริงได้ แนวคิดนี้จึงบอกร่ง
มีความคิดใดเป็นจริงมากกว่ากัน
แนวคิดคอนสตรัคติวิสท์
ทั้ง 4 แนวคิด
มีข้อตกลงเบื้องต้นที่อยู่ภายใต้ทฤษฎีคอนสตรัคติวิส เหมือนกัน สรุปได้ 3 ประการคือ
1. การเรียนรู้ เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคล
ผู้เรียนเป็นผู้รับผิดชอบการเรียนรู้ของ ตน ไม่มีบุคคลใดสามารถเรียนรู้แทนกันได้
2. ความรู้ ความเข้าใจและความเชื่อที่มีอยู่เดิมส่งผลต่อการเรียนรู้
3. ความขัดแย้งทางความคิดเอื้ออํานวยให้บุคคลเกิดการเรียนรู้
เพื่อลดความขัดแย้งทางความคิด
ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์
แสดงให้เห็นจุดเปลี่ยนทางด้านการศึกษา กล่าวคือ เปลี่ยนจากรูปแบบ
การศึกษาที่อยู่บนพื้นฐานตามทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ซึ่งเน้นในเรื่องเชาว์ปัญญา (Intelligence)
จุดประสงค์ (Domains of objective) ระดับความรู้
(Level of Knowledge) และการให้แรงเสริม (Reinforcement)
มาเป็นรูปแบบการจัดการศึกษาที่เน้นทฤษฎีความรู้ความคิด (Cognitive
theory) ซึ่งเป็นพื้นฐานสําคัญของการ
เรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์ (Constructivist learning) ที่มีความเชื่อที่ว่าผู้เรียนสามารถ ความรู้ของตนเอง (Construct
their own knowledge) จากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม (Gagnon
2001:1)
ข้อตกลงเกี่ยวกับการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์
1. ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ เมื่อทํากิจกรรมการเรียนรู้
2. ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้เกี่ยวกับสัญลักษณ์ หรือสร้างความหมาย เมื่อ
กิจกรรม
3. ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้เกี่ยวกับสังคม เมื่อต้องการนําความหมายที่ตนเองสร้างขึ้นไปปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น
การเรียนรู้แบบสร้างความรู้ด้วยตนเองสรุปได้
3 ขั้น ( http://www2.southeastern.edu
Academics/Faculty/rhancock/ theory.htm#CM ) ajú:
1. การทําความรู้ที่มีอยู่ให้กระจ่างแจ้ง
2. การระบุ การได้รับและการเข้าใจข้อมูลใหม่
3. การยืนยันความถูกต้องและการใช้ข้อมูลใหม่
ขั้นตอนที่ 1 การทําความรู้ที่มีอยู่ให้กระจ่างแจ้ง
ผู้เรียนแต่ละคนต่างมีความคิดดั้งเดิมและมีความจําเป็นที่จะต้องเลือกหรือปรับเปลี่ยนมโน
ทัศน์ (แนวคิดดังกล่าว ความคิดของผู้เรียนนั้นท้าทายความรู้ทางวิชาการที่ถูกต้อง
ชักชวนให้ผู้เรียนเปลี่ยน แนวคิดและยอมรับความรู้ทางวิชาการที่ถูกต้อง
กลวิธีสําหรับขั้นตอนที่ 1
สัมภาษณ์หรืออภิปรายกลุ่ม
แบ่งกลุ่มข้อมูลหรือจําแนกข้อมูล แบ่งกลุ่มข้อมูล
เรียงลําดับข้อมูลตามลักษณะบางประการ (เช่น มวลสาร) จําแนกข้อมูล
จัดกลุ่มวัตถุโดยใช้ลักษะทางคุณภาพหรือปริมาณ (สี รูปร่าง ขนาค)
แผนที่ความคิดหรือแผนผังมโนทัศน์ ระดมสมองที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหลัก
เหตุการณ์ที่ขัดแย้ง
เหตุการณ์ที่ไม่สมเหตุสมผล
ขั้นตอนที่
2 การระบุ
การได้รับและการเข้าใจข้อมูลใหม่
การวางแผนแบบร่วมกัน
: การวางแผนเครื่องมือที่สร้างแรงจูงใจที่เข้มแข็ง ผู้เรียนได้รับ
ข้อมูลว่าจะต้องเรียนรู้อะไรจากหัวข้อบ้าง
อภิปรายเป็นกลุ่มเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องเรียนรู้ ให้ขอบข่าย
สาระสําคัญในเรื่องที่เรียนรู้
กลวิธีสําหรับขั้นตอนที่
2
นักจัดการขั้นสูง
(advance organizers) ข้อมูลใหม่เชื่อมโยงเข้ากับความรู้เก่าที่มีอยู่แล้ว
ได้อย่างไร
อภิปัญญา
(meta-cognition) ผู้เรียนกํากับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง
ผู้เรียนเป็นผู้นําใน การเรียนรู้ด้วยตนเอง เทคนิควิทยาศาสตร์
(techno-sciencing) ใช้กิจกรรมเป็นฐานประกอบคําอธิบาย
ตัดสินใจด้วยตนเอง ปรัชญาส่วนบุคคล การใช้ความคิดอุปมาอุปมัย
ใช้แนวคิดที่คุ้นเคยนําแนวคิดแบบ อุปมาอุปมัยมาใช้
ขั้นตอนที่
3 การยืนยันความถูกต้องและการใช้ข้อมูลใหม่
ผู้เรียนได้รับข้อมูลเพื่อสร้างองค์ความรู้
ความรู้ใหม่ที่สร้างขึ้นของคนส่วนใหญ่สร้างขึ้นจากการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
ความรู้ถูกทําให้กระจ่างและยืนยันความถูกต้องเมื่อผู้เรียนนําความรู้ใหม่ไปประยุกต์ใช้กัน
สถานการณ์
ความรู้ได้รับจะถูกปรับแต่งตามข้อมูลย้อนกลับที่ได้รับ
กลวิธีสําหรับขั้นตอนที่ 3 • การเรียนรู้แบบร่วมมือ สร้างความเข้าใจและแสดงออกในรูปการใช้โมเดล
ช่วยในการสร้างความเข้าใจ
และยังสาธิตมโนทัศน์ของความเข้าใจ หลักการ และ
กระบวนการที่เป็นเลิศเทคนิคที่ใช้ในการแสวงหาความรู้และการยืนยันความถูกต้องของความรู้
• การทดลอง การออกแบบและเทคโนโลยี ใช้สืบเสาะหาความรู้เป็นฐาน
• วิธีการแบบบูรณาการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างหัวข้อ
คําถามและแนวคิดอื่นๆ
• สาขาวิชา (แนวคิดหลัก) การประยุกต์ใช้กับชีวิตจริง
ช่วยเพิ่มความเชื่อมโยงสอดคล้องทฤษฎีและการปฏิบัติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น